สาระความรู้เรื่องดวงตา
เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ของดวงตาจาก ดร.แอนดรูว์ ไวล์
เข้า รับการตรวจตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี สำหรับอายุ 65 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ที่ต้องจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10-15 นาที สวมใส่แว่นตาดำที่สามารถปกป้อง และกรองแสงยูวี ทุกๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง
อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
บริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti oxidant) ในปริมาณสูง
เช่น ผิวบิลเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ พร้องทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อยๆ ดีกว่า
บริโภคผัก ผลไม้ ที่มาสรลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)
เป็น สารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม ที่สามารถพบได้ในผลอโวคาโด บล็อกโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลาย ดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
โรคทางตาที่พบบ่อย
โรคต้อหิน


ภาพจากตาปกติ ภาพจากอาการโรคต้อหิน


ปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคต้อหิน

โรคจอประสาทตาหลุดลอก

โรคจอประสาทตาหลุดลอก
โรคจอประสาทตาหลุดลอก เป็นอาการที่รุนแรงและส่งผลต่อการมองเห็น โดยเกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาแยกออกจากเนื้อเยื่อที่ยึดอยู่ภายใต้จอประสาทตา เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านี้แยกออกจากจอประสาทตา จะทำให้จอประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการรักษาก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด
โรคจอประสาทตาหลุดลอก ชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีรอยแยกในเนื้อเยื่อชั้นที่รับความรู้สึกของจอประสาทตา และของเหลวจึงไหลซึมออกมา ส่งผลให้ชั้นเนื้อเยื่อของจอประสาทตาหลุดออกจากกัน สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก และเคยได้รับการผ่าตัดตาหรือเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่ดวงตา มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ผู้ที่มีสายตาสั้นมีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอกได้มากกว่า เนื่องจากผู้ที่มีสายตาสั้นจะมีความยาวของลูกตามากกว่าปกติ ทำให้จอประสาทตาบางและ เปราะกว่าปกติ โรคจอประสาทตาหลุดลอกอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเส้นของวุ้นในตาหรือเนื้อเยื่อแผลเป็นทำให้เกิดการดึงรั้งบนจอ ประสาทตา ทำให้เกิดการหลุดลอก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาชนิดนี้ได้
อาการของโรคจอประสาทตาหลุดลอก





โรคกระจกตาย้วย (Keratoconus)

โรคกระจกตาย้วย
โรคกระจกตาย้วย (Keratoconus)


โรคต้อกระจก


ลักษณะของโรคต้อกระจก ภาพจากอาการโรคต้อระจก
โรคต้อกระจก

โรคต้อเนื้อ


โรคต้อเนื้อ โรคต้อลม
โรคต้อเนื้อ


สายตากับการใช้คอมพิวเตอร์

หยุดพักสายตาสักครู่
อาการตาล้า เป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นกับผู้ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์หรือมอนิเตอร์ (VDT) หากงานที่ท่านทำต้องมีการจ้องมอนิเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรจะมีการหยุดพักบ้างเป็นครั้งคราว การเพ่งมองมากๆ ทำให้เกิดอาการล้าของกล้ามเนื้อตา ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเพ่งในดวงตา และกล้ามเนื่อที่ใช้ปรับในการมองใกล้ การพักสายตาบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มคุณภาพในการมองเห็น ลดอาการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับดวงตา และเป็นการถนอมดวงตาอีกด้วย พยายามละสายตาจากหน้าจอเป็นเวลา 20 วินาทีในทุกๆ 20นาที การพักสายตาช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีอาการตาล้าทำให้คุณสามาถทำงานได้นานขึ้น โดยไม่มีปัญหาการล้าของตา นอกจากนี้ควรมีการตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียดเป็นประจำทุกปี
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำงาน
สภาพแวดล้อมมีส่วนสำคัญมาก ในการลดอาการตาล้าเนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์ ท่านควรตรวจสอบดูบริเวณโต๊ะทำงานของท่าน ว่ามีแสงซึ่งสะท้อนลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของท่านหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างด้านหลังของโต๊ะทำงาน หรือแสงจากแหล่งอื่นๆ แสงที่สะท้อนมาจากหน้าจอทำให้ท่านต้องหรี่ตา และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเกิดอาการล้าขึ้น
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความไม่สบายตา และทำให้ท่านทำงานได้น้อยลงอีกด้วย การปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางจอคอมพิวเตอร์ หรือการใช้ม่าน,ที่บังแดด,ที่บังแสงไฟ หรือจอชนิดพิเศษที่ป้องกันแสงสะท้อนได้ สามารถช่วยลดแสงสะท้อนและลดโอกาสที่จะเกิดอาการตาล้า แสงไฟภายในห้องก็เป็นสิ่งสำคัญ แสงมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ทำให้ต้องหรี่ตาเวลามองเป็นสาเหตุของอาการตาล้าได้
ระยะห่างที่เหมาะสมในการทำงาน
ระยะห่างที่ไม่เหมาะสมในการทำงาน สามารถเป็นสาเหตุของอาการตาล้าได้เช่นเดียวกับการใช้คอมพิวเตอร์ ระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างดวงตา และหน้าจอนั้นแตกต่างกันไป ในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับรูปร่าง ลักษณะการนั่ง การจัดวางโต๊ะทำงานและปัญหาทางสายตาของแต่ละบุคคล
โดยทั่วไปจอที่มีขนาดใหญ่จะดีกว่า เนื่องจากสามารถตั้งไว้ไกลๆ และช่วยลดอาการตาล้าได้ องศาของมุมในการมองก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดอาการตาล้าด้วย องศาที่เหมาะสมในการมองคือ 10-20 องศาใต้ระดับสายตา หากเป็นไปได้ ควรวางเอกสารไว้ในระดับเดียวกับจอภาพ เพื่อลดความลำบากในการมองและการขยับศีรษะหรือดวงตา