Mee Shape (มีเชฟ) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนักเพื่อหุ่นสวยและรูปร่างที่เพรียวงาม
Mee Shape ทำหน้าที่ ยับยั้งการสร้างไขมันใหม่ สลายไขมันเก่า เพิ่มอัตราการเผาผลาญ ผลิตตามมาตรฐาน GMP, มี ( อ.ย. ) รับรอง เลขทะเบียน อ.ย. 12-1-08152-1-0007
วิธีรับประทาน
รับประทานวันละ 1-2 เม็ด หลังอาหาร
ส่วนประกอบที่สำคัญ ทั้งหมด 11 ชนิด ของ Mee Shape (มีเชฟ)
น้ำหนักสุธิ 550 มก.
1. สารสกัดจากถั่วขาว ( White Kidney Been Extract )
มี คุณสมบัติยับยั้งการดูดซึมแป้ง สารเฟซาโอรามีน ส่งผลให้คาร์โบไฮเดรตที่ทานเข้าไปไม่ย่อ และไม่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจึงลดการสะสมของไขมัน แป้ง และน้ำตาล
White Kidney Been ถั่วขาว
เป็น พืชตระกูลถั่วที่มีต้นกำเนิดในพื้นที่สูง ในแถบประเทศแม็กซิโก กัวเตมาลา เป็นพืชที่ต้องการอยู่ในอากาศหนาวเย็นในช่วงที่มันจะเจริญเติบโต ส่วนในประเทศไทยนั้นก็มีการลองปลูกถั่วขาวบนพื้นที่สูงเช่นเดียวกัน พบว่าสามารถเพราะปลูกได้ดีทีเดียวแต่มีการเพาะปลูกไม่แพร่หลายนัก “ถั่วขาว” มี ชื่อวิทยาศาสตร์ Bruguiera cylindrical วงศ์ RHIZOPHORACEAE
ในปัจจุบันมีการสกัดสารสำคัญถั่วขาวที่ชื่อว่า ฟาซิโอลามีน (Phaseolamin) มีคุณสมบัติทำให้เอนไซม์อะไมเลสเป็นกลาง ดังนั้นแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่เราบริโภคเข้าไปนั้นจึงไม่สามารถเปลี่ยนจาก เเป้งกลายเป็นน้ำตาลได้ถึง 50-66% หากได้รับสารสกัดจาก “ถั่วขาว” เข้าไปในปริมาณ 500 มิลลิกรัมต่อวันจะ ร่างกายได้รับพลังงานจากแป้งลดน้อยลงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งมีผลทำให้การสะสมของไขมันในร่างกายที่เกิดจากน้ำตาลในแป้งลดน้อยลง เมื่อร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมออกมาใช้มากยิ่งขึ้นร่วมไปถึงยัง ลดระดับไตรกรีเซอไรด์ในร่างกายด้วยจึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยไม่ต้องใช้วิธีอด อาหารหรือกินยาลดความอ้วน
2. คอลลาเจน จากปลาทะเล (Hydrolyzed Fish Collagen)
คอ ลลาเจนจากปลาทะเล ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยต่างๆ จางหายและทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มเนียนขึ้น ดูสดชื่นแบบธรรมชาติ Collagen จะมีบทบาทสำคัญในด้านการฟื้นฟูสภาพผิวที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือผิวหนังหย่อนยาน ลบริ้วรอยต่างๆ ทำให้ริ้วรอยที่เป็นอยู่แล้วตื้นขึ้น แลดูจางลง มากกว่าการป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ แต่การทานคอลลาเจนจะต้องทานควบคู่กับวิตามินซีเพื่อการดูดซึมคอลลาเจนเข้า สู่ร่างกาย
3. สารสกัดจากดอกคำฝอย (Safflower Extract)
มี CLA เข้มข้น 78-85% จึงช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ ลดการสะสมไขมันในร่างกาย
Safflower ดอกคำฝอย
มี ถิ่นกำเนิดในตะวันออกกลาง บริเวณรัสเซียตอนใต้ทางตะวันตกของอิหร่าน อิรัก ซีเรีย และทางตอนใต้ของตุรกี จอร์แดน อิสราเอล ในประเทศไทยพบปลูกทางภาคเหนือของประเทศ
ตามตำรับยาแผนโบราณ ระบุว่า ดอกคำฝอยใช้เป็นส่วนผสมยาบำรุงโลหิตหรือแก้โลหิตเป็นพิษกันมาแต่โบราณ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าดอกคำฝอย มีกรดไลโนเลอิค Linoleic acidอยู่มากและสามารถช่วยลดไขมันในโลหิตได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่ไม่ชอบหรือรังเกียจกลิ่นฉุนของกระเทียมหรือหัวหอมซึ่งมี สรรพคุณเช่นเดียวกัน ควรใช้ดอกคำฝอยชงดื่มแทนก็ได้ผลเช่นกัน ดอกคำฝอยนอกจากช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือกแล้ว กรด Linoleic acid ที่ได้ยังช่วยให้ขบวนการเผาผลาญไขมันของร่างกายเป็นไปโดยปกติ ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักอีกด้วย
ปัจจุบัน CLA (Conjugated Linoleic Acid) เป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้ลดน้ำหนักกันมาก ซึ่ง ดอกคำฝอย เป็นแหล่งตั้งต้นที่ดีของ CLA
Linoleic Acid มีความปลอดภัยสูงมาก และเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง การขาด LinoleoicAcid จะทำให้ผิวหนังตะปุ่มตะป่ำเพราะไขมันจับตัวเป็นก้อน
4. สารสกัดจากส้มแขก (Garcenia Extract)
มีสารสกัดสำคัญที่ชื่อว่า กรดไฮดรอกซีซิติกช่วยยับยั้งกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน และยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
ผลส้มแขก (Garcenia Cambogia)
เป็น พืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย นิยมนำมาประกอบอาหาร ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร…
ได้มีการค้นคว้าพบว่า ผล ส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก
กลไก การออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb’s cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลง ซึ่งจะมีผล ทำให้รูปร่างดีขึ้น
จากการนำ สารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ ( แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)
ขณะ ที่ใช้สารสกัดจากส้มแขก คุณสามารถ รับประทานอาหารได้ตามสมควร แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันลงบ้าง และเมื่อความรู้สึกหิวน้อยลงจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ แล้วจะทำให้ นิสัยการกินอาหารจุๆ จำนวนมากก็จะค่อยๆ ลดลง และไม่กลับมาอ้วนใหม่
ผลส้มแขก จนถึงบัดนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและปลอดภัยกว่ายาใดๆ ทั้งหมด
5. สาหร่ายเคลป์ (Kelp)
สาหร่ายเคลป์ Kelp
สาหร่าย เคลป์ เป็นสาหร่ายทะเลน้ำตาล ที่บริสุทธิ์เจริญเติบโตทางขั้วโลกเหนือในมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งชื่อทาง วิทยาศาสตร์เรียกว่า Phacophata สายพันธุ์Ascopphyllum Nodosum และเป็นสาหร่ายทะเลที่ได้รับการ ยอมรับแล้วว่าเป็นได้ทั้งอาหารและยา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการพบว่าเป็นสาหร่ายทะเลชนิดที่มีคุณค่าทาง โภชนาการสูงเพราะเป็นสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลเคลป์ประกอบด้วยสารอาหารที่สำคัญ และจำเป็นต่อคนเรามากมาย เช่น
ประโยชน์ ของ สาหร่ายเคลป์ Kelp
6. แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine)
เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ
ทำหน้าที่ช่วยทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน
ดัง นั้น หากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ปัญหาสุขภาพอัน เนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายของ คุณอย่างมากมาย เช่น ความอ้วน และการสะสมของไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และ นำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย ซึมและเหนื่อยง่าย
ประโยชน์ที่ได้รับจากสาร L-carnitine
1. เร่งการเผาผลาญไขมัน
2. ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน
3. ดักจับไขมันสัตว์ คาร์โบไฮเดรต และแป้ง
4. คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglycerides) อยู่ในระดับต่ำ
5. ป้องกันโรคหัวใจ และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
6. ช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น
7. ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
8. ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
9. มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวกและลดภาวะความเครียด
10. ช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา
7. แอล กลูตามีน (L-Glutamine)
แอล-กลูตามีน L-Glutamine : สารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมมัดกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ จากการออกกำลังกาย และช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ในระหว่างการออกกำลังกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น
เป็นกรด อะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย จะเป็นตัวช่วยทำลายกรดแลคติค ( Lactic Acid) ที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น ระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนัก การทำลายกรดแลคติดจะช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ออกกำลังกายได้ยาวนานขึ้น
L-Glutamine เป็นกรดอะมิโนชนิดจำเป็น ( Essential Amino Acid) และเป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยมากกว่า 60% ของ L-Glutamine จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อจึงถือเป็นกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างสำคัญของกล้าม เนื้อนั่นเอง L-Glutamine มีอยู่ในเวย์โปรตีนบางส่วน แต่ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าเพียงพอต่อความต้องการในระหว่างออกกำลังกาย เพราะระหว่างออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายจะสร้างกรดแลคติคออกมาตลอดเวลา ดังนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนที่มีปริมาณ L-Glutamine ที่มากเพียงพอด้วย
หน้าที่หลักของ L-Glutamine คือ ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ โดยการช่วยทำลาย กรดแลคติค ( Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น นอกจาก นั้น L-Glutamine ยังมีประโยชน์คล้ายกับ BCAAs ด้วยคือ ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ( Growth Hormone) ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายมีการสังเคราะห์โปรตีน เพื่อเสริมสร้างเซลล์กล้ามเนื้อและช่วยซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อที่สึกหรอหรือ ได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายที่รุนแรง ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ใน นักกีฬาที่ใช้สมองมาก L-Glutamine ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับสมอง ช่วยให้สมองมีการทำงานที่ดีมากขึ้น โดย L-Glutamine จะทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) คือ Glutamate และ GABA ( Gamma-Aminobutyric Acid ) นอกจากนี้ L-Glutamine ยังช่วยล้างพิษสารแอมโมเนียที่เกิดขึ้น จากการทำงานหนักของสมองอีกด้วย
8. แอลอาร์จินีน (L-Arginine)
แอล-อาร์จินีน (L-Arginine) คืออะไร?
แอล-อา ร์จินีน (L-Arginine) คือกรดอะมิโน ที่ถือว่าเป็น "โมเลกุลมหัศจรรย์" มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาลเพราะ L-Arginine จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิต ไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) เพื่อช่วยในเรื่องการขยายตัวของหลอดเลือด รวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความชรา
โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) คืออะไร?
โกรท ฮอร์โมน คือ ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง ร่างกายจะต้องผลิตออกมาใช้เพื่อการเจริญเติบโต เสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกายตลอดชีวิต แต่หลังจากอายุ 23 ปี ร่างกายกลับหลั่งโกรทฮอร์โมน ได้น้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ร่างกายของเราเริ่ม "แก่ชรา" เชลล์ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่น ผมเริ่มหงอก สมรรถภาพทางเพศเริ่มลดลง ประสิทธิภาพทางร่างกายเริ่มเสื่อมจึงเป็นสาเหตุของโรคเสื่อม เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์
ใน สหรัฐอเมริกา แคนนาดา และยุโรป ได้มีการนำ โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) มาใช้ในวงการแพทย์ และสถาบันต่างๆกันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้โกรทฮอร์โมนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สามารถทำให้คนเราย้อนวัยกลับ ไปเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้ง
ไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) คืออะไร?
ไน ตริกออกไซด์ ขึ้นชื่อวาเป็น "วีรบุรุษของร่างกาย" (The New Hero of Human Biology) โดยนักวิทยาศาสตร์ 3 ท่าน คือ Louis J.lgnarro, Robert Furchgot and Ferid Murad ได้ค้นพบคุณสมบัติของ ไนตริกออกไซด์ จนได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี 1998 จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไนตริกออกไซด์สามารถช่วยในการบำบัดหลอดเลือดและหัวใจ ช่วยเรื่องการขยายตัวของหลอดเลือดลดสภาวะความตึงเครียดของหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ ดูแลและซ่อมแซมการไหลเวียนของเลือด ช่วยทำให้การสูบฉีดโลหิตทั่วร่างกายได้เป็นปกติ
ประโยชน์ของ L-Arginine (แอล-อาร์จินีน)
9. วิตามินซี (VITAMIN C)
วิตามินซี คืออะไร
ประวัติการ ค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง
ประโยชน์ของ วิตามินซี
เรา ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ
► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้
► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง
► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%
► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
ขนาดที่รับประทาน
ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม
หาก เราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม
ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด
► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี
► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน
► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด
► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน
► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน
►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา
ข้อควรระวัง
► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium
►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้
► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน
10. วิตามินอี (VITAMIN E)
วิตามินอี(Vitamin E)คืออะไร
วิตามิน อี(Vitamin E) มีชื่อเรียกว่า Tocopherol ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant ) ที่สำคัญมากตัวหนึ่ง และยังมีหน้าที่ป้องกันผนังเซลล์จากออกซิเจนที่จะมาทำลายเซลล์ วิตามินอีนี้มีหลายโครงสร้างด้วยกัน ซึ่งมีถึงแปดโครงสร้าง และแต่ละโครงสร้างนั้นก็มีฤทธิ์ไม่เท่ากัน
เราจะะหาวิตามินอีได้จากที่ไหนบ้าง
วิตามินอี(Vitamin E) พบได้ใน อะโวคาโด อัลมอนด์ เมล็ดข้าวสาลี เมล็ดทานตะวัน ธัญพืช และผักโขมเป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินอี
แล้วถ้าขาดวิตามินอีล่ะ
แต่ถ้าหากร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไป
อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย อาจทำให้เมื่อมีบาดแผลแล้วเลือดหยุดยาก
11. โครเมี่ยมคีเลต (Choromium Chelater)
Chromium โครเมียมคืออะไร
เป็น แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อการเจริญเติบโตที่มีสุขภาพที่ดี มันมีความจำเป็นต่อขบวนการแตกของโมเลกุลโปรตีน ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต รองจาก แคลเซียม แล้ว โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่ได้รับความนิยมมากสำหรับคนอเมริกันที่รับประทานเป็นประจำ และยังเป็นที่ร่างกายต้องการ โครเมียม ในปริมาณ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน โครเมียม มีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่า โครเมียม เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิด นอกจากนั้น โครเมียม อาจมีบทบาทในการเพิ่ม HDL หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด
โครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้ เป็นพลังงาน และขบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน และ คลอเรสเตอรอล จึงดูเหมือนว่า โครเมียม จะเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน และการจัดการกับน้ำตาลกูลโคส ป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ (เพราะว่ามีอินซูลินมากเกินไป) หรือโรค เบาหวาน (เพราะว่ามีอินซูลินน้อยเกินไป)
จาก การศึกษาพบว่า โครเมียม แบบที่เรียกว่า โครเมียมพิกโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงปริมาณของไขมันในร่างกาย โดยพบว่า โครเมียมพิกโคลิเนต อาจจะลดปริมาณไขมัน และกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ โดยมีงานวิจัยที่ทดลองให้ โครเมียมพิกโคลิเนต ขนาด 400 ไมโครกรัมต่อวันกับอาสาสมัครเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการลดลงของปริมาณไขมันในร่างกาย และ น้ำหนักร่างกาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่นก็ไม่สามารถยืนยันผลของ โครเมียมพิกโคลิเนต ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
ประโยชน์ของโครเมียม
คน ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม โครเมียม เลยหากสามารถรับประทานได้จากอาหารได้อย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้ในปัจจุบันอาหารที่เรารับประทานมักจะผ่านกรรมวิธีมามากจนทำให้สาร อาหารต่างๆ รวมทั้ง โครเมียม ถูกขจัดออกไปจากอาหารทำให้ในบางรายอาจจะจำเป็นต้องพิจารณารับประทาน โครเมียม เป็นอาหารเสริม เหมือนกับวิตามินตัวอื่นๆ
► ลดระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกาย จากหลักฐานการศึกษาวิจัยพบว่า โครเมียม (ทั้งในรูปแบบพิกโคลิเนตและอื่นๆ) พบว่ามีผลในการลดระดับ คลอเลสเตอรอล ในร่างกาย โดยการมีบทบาทไปเพิ่ม HDL หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด
► ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวาน ในผู้ป่วยโรค เบาหวาน แบบที่ 2 โครเมียมมีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่าอินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อนจะมีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาล ในเลือด แต่ปัญหาคือเซลร่างกายผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน โครเมียม เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิดจะไปช่วยกระตุ้นให้เซลร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ระดับน้ำตาลเข้าสู่ระดับปกติ มีการทดลองซึ่งเป็นการทดลองแบบที่ทั้งผู้ทดสอบและผู้ถูกทดสอบจะไม่มีใครทราบ เลยว่าได้ยาที่มีส่วนผสมของ โครเมียม หรือไม่มี เพื่อตัดตัวแปรด้านความรู้สึกของผู้เข้าการทดลองที่อาจะมีผลต่อการวัดผลใน ประสิทธิภาพของ โครเมียม ซึ่งผลการทดลองสนับสนุนสรรพคุณด้านการลดน้ำตาลในเลือดของ โครเมียม เนื่องจาก โครเมียม ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยในการทำให้ glucose tolerance ดีขึ้น ดังนั้นการได้รับ โครเมียม จึงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรค เบาหวาน ชนิดที่ 2 คนที่มีอาการระดับน้ำตาลในเลือดต่ำก็มีอาการดีขึ้น เมื่อได้รับ โครเมียม 200 ไมโครกรัมต่อวัน
► ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก มี เพียง โครเมียมพิกโคลิเนต ที่แสดงผลในเรื่องนี้คือมันไปช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และไปเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ มีการศึกษาเมื่อปี 1998 โดยมีอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 122 คนที่เป็นสมาชิกของเฮลท์คลับต่างๆ ในเทกซัสได้รับ โครเมียม จำนวน 400 ไมโครกรัมต่อวันของ โครเมียมพิกโคลิเนต หรือยาหลอกเป็นระยะเวลติดต่อกัน 3 เดือน คนที่ได้รับ โครเมียม มีไขมันในร่างกายลดลง 6 ปอนด์ (2.7 กิโลกรัม) ขณะที่คนที่ได้รับยาหลอกลดลงเพียง 3 ปอนด์ (1.3 กิโลกรัม) นอกจากนี้จากผลการทดลองดังกล่าวจึงมีการใช้ โครเมียมพิกโคลิเนต ในกลุ่มผู้รักการออกกำลังกายเพื่อที่จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และลดไขมันในร่างกาย เมื่อรับประทาน โครเมียมพิกโคลิเนต ร่วมกับการออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ
แหล่งที่พบโครเมียม
แหล่ง ที่พบโครเมียมที่ดีที่สุด คือ ในยีสต์ (Brewer’s yeast) นอกจากนั้นก็ยังพบใน เมล็ดธัญพืช และ ซีเรียล ซึ่งปรกติจะถูกทำลายไปในระหว่างกระบวนการผลิต เบียร์บางยี่ห้อก็อาจจะมี โครเมียม ในปริมาณมาก
ใครที่จะขาดโครเมียม
เนื่อง จากคนทั่วไปได้รับ โครเมียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าที่ US RDA ได้แนะนำไว้คือ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน และ ประมาณ 3 % ของ โครเมียม ในอาหารที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย คนทั่วไปควรได้รับ โครเมียม เป็นอาหารเสริม การที่รับประทานอาหารประเภทน้ำตาล และอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง ก็อาจจะทำให้เกิดการขาด โครเมียม และเร่งให้เกิดโรค เบาหวาน ได้
พบว่า คนในกลุ่มผู้สูงอายุ นักกีฬา และหญิงมีครรภ์ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาด โครเมียม มากที่สุด เมื่อร่างกายขาด โครเมียม จะมีอาการต่อไปนี้ คือ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรค เช่น impaired glucose tolerance, glycosuria, อาการระดับน้ำตาลสูงเมื่ออดอาหาร fasting hyperglycemia, ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น และ การทำงานของอินซูลินลดลง (ซึ่งเหล่านี้ล้วนอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวาน)
ขนาดที่แนะนำ
ปริมาณที่แนะนำโดยแพทย์ทั่วไป คือ 200 ไมโครกรัมต่อวัน
อาการข้างเคียง
ใน ปริมาณที่ โครเมียม วางขายทั่วไป (50 – 300 ไมโครกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าก่อให้เกิด อาการเป็นพิษต่อร่างกาย (toxicity) อาหารเสริม โครเมียม อาจจะเพิ่ม หรือเข้าไปช่วยการทำงานของยารักษาโรค เบาหวาน (เช่น อินซูลิน หรือยาลดน้ำตาลอื่นๆ) และอาจทำให้เกิดอาการระดับน้ำตาลต่ำได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรค เบาหวาน จึงควรปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนที่จะทานอาหารเสริม โครเมียม
ผลต่ออาหารชนิดอื่นๆ
จาก การศึกษาพบว่า วิตามินซี เพิ่มการดูดซึมของ โครเมียม จึงได้มีการแนะนำให้รับประทานร่วมกันระหว่าง วิตามินซี และ โครเมียม หรือทานร่วมกับอาหารที่มี วิตามินซี สูงๆ
ข้อระวังในการใช้
► ผู้ป่วยโรค เบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการรับประทาน เนื่องจาก โครเมียม อาจจะไปมีผลทำให้ความต้องการอินซูลินหรือยาลดน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้
► อย่ารับประทานพร้อมๆ กับแคลเซียมคาร์บอเนต หรือยาลดกรดต่างๆในเวลาเดียวกันเพราะมันอาจจะไปรบกวนการดูดซึมของโรคเมียมได้
► การรับประทาน โครเมียม ในปริมาณสูงๆ อาจจะไปรบกวนการดูดซึม สังกะสี (Zinc) ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มปริมาณการรับประทาน สังกะสี ให้เพิ่มมากขึ้นแทน
มี เชฟ Mee Shape ของแท้ราคาถูกกล่องละ 290 บาท โปรโมชั่นลดราคาพิเศษด่วน ผลิตภัณฑ์ อาหาร เสริม ควบคุม น้ำหนัก ต้องการทราบข้อมูล อาหารเสริมลดน้ำหนักยี่ห้อไหนดีปรึกษาเราได้
ติดต่อ Call Center โทร 086-686-1768 Email: aui_zaa2499@hotmail.com
เว็บไซต์ : www.thankbeauty.com
เ
หน้าที่เข้าชม | 103,693 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 65,569 ครั้ง |
เปิดร้าน | 29 ก.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 25 ส.ค. 2568 |